เตรียมจด! 4 เทรนด์เขียนแคปชันลงโซเชียลให้ยอดขายปัง ลูกค้าติดใจ!

เทรนด์เขียนแคปชันลงโซเชียล

สารบัญ

               แม้ว่าเทรนด์การขายในยุคนี้ 80% จะอยู่ที่การยิงแอดเพื่อให้ลูกค้ารู้จักเรา แต่การสร้างกระแสในโซเชียลแบบออแกนิค ก็ยังคงมีผลกับการตัดสินใจซื้อของว่าที่ลูกค้ามากกว่าที่คิด! สังเกตได้เลยว่า ถ้าร้านไหนมีกระแสใน Facebook หรือ Twitter ละก็ ยอดขายเปรี้ยงปร้างเลย!

               แม้การยิงแอด หรือจ้างอินฟลูเอนเซอร์จะช่วยสร้าง Awareness ทำให้ลูกค้ารู้จักเราได้ แต่กว่าที่ลูกค้าจะสนใจเรา ก็อาจจะต้องมีการมองเห็นซ้ำ ๆ และถ้าเราจับลูกค้าไว้ไม่อยู่ ก็เหมือนโยนเงินทิ้งไปกลางทาง เพราะเดี๋ยวนี้ แค่ยิงแอดมันไม่พอแล้ว! มากกว่าความน่าสนใจของสินค้า ระยะทาง เวลาในการส่ง หรือราคาแล้ว ลูกค้าหลาย ๆ คนก็สนใจเรื่องไลฟ์สไตล์ของร้านด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การพูด วิธีโปรโมทสินค้า อะไรเหล่านี้ล้วนมีผลกับการได้ไปต่อของร้านค้าเช่นกัน

               ถ้าลูกค้าเริ่มสนใจเราจากแอด และเข้ามาสอดส่องในหน้าเพจของเราแล้ว สิ่งที่จะดึงลูกค้าไว้ได้ ก็คือแคปชั่นการขายนี่แหละ! แต่ถ้าเรามีแค่แคปชั่นธรรมดา ก็คงไม่มีพลังมากพอ วันนี้ SlipOK เลยจะมาแนะนำ 4 เทรนด์การเขียนแคปชั่นลงโซเชียลให้ลูกค้ารัก เหมาะกับหลากหลายธุรกิจ ต่อยอดความปังให้เป็นยอดขายได้!

1. สายครอบครัว มาพร้อมความเฟรนด์ลี่ มีแต่ความห่วงใยแบบ 100%

แคปชันลงโซเชียล สายครอบครัว

               มีเงินเขานับเป็นน้อง มีทองเขานับเป็นพี่ แต่ถ้ามีร้านไหนคนไทยขาย ก็เป็นได้ทั้งปู่ย่าตายาย พ่อ แม่ และมัมหมีกันไปเลย! แคปชั่นสายครอบครัว มักจะมาพร้อมความห่วงใย โดยคอนเซปต์จะเป็นการแนะนำสินค้าดี ๆ ด้วยความรัก ความหวังดี เสมือนเป็นคนในครอบครัว แต่เพิ่มความขายของแบบสุดตัวมาด้วย เช่น

‘ยายรับประกันเลยว่าสูตรนี้พิเศษที่สุด สูตรลับตกทอดมานานกว่า 80 ปี ทำให้หลานกินมาแล้ว 3 รุ่น’

               การนำเสนอพร้อมความห่วงใยของคนในครอบครัว จะทำให้ลูกค้า หรือคนที่อ่านอยู่รู้สึกว่าสินค้านี้เป็นของดี ดูจริงใจ น่าเชื่อถือ ถือว่าเป็นสไตล์ที่จับใจคนไทยได้ไม่ยาก เพิ่มความพิเศษใส่ไข่ให้เรื่องราวสินค้าธรรมดาดูมีคอนเซปต์ขึ้น แนว ๆ ว่าแค่อ่านก็อารมณ์ดีแล้ว

               แคปชั่นสายครอบครัวจะเหมาะกับสินค้าอาหาร ขนม เครื่องสำอางค์ หรือพวกสินค้าที่ซื้อตามการรีวิวได้ง่าย ๆ สามารถมาสายนี้ได้เต็มที่เลย

2. สายเล่นตัวเอง เพราะเล่นตัวเองเจ็บน้อยสุด (จริงไหม?)

แคปชันลงโซเชียล สายเล่นตัวเอง

               บอกเลยว่าเทรนด์แคปชั่นสายนี้กำลังมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไม่ง่าย! เพราะคนที่จะมาสายนี้ได้ ต้องมีเซนส์ความตลกด้วย ถ้าใครเป็นสายจริงจัง บอกเลยว่าไม่แนะนำ เพราะสำหรับเทรนด์นี้ สิ่งที่คุณต้องทำ มีแค่การเล่นตัวเองแรง ๆ เล่นไปให้สุดทาง ถ้ามาแล้วหยุดกลางคันคือฟีลลิ่งจะไม่ได้เลย

               ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นประมาณไหน ให้ดูร้าน ‘น้ำพริกแคปหมูยายน้อย’ ได้เลย ความตลกที่กำลังพอดี เล่นตัวเองได้สุดทาง ไม่ได้ทำให้ลูกค้าเชื่อจริง ๆ ว่าน้ำพริกร้านนี้กินแล้วตาย คายแล้วรอด แต่กลับทำให้ผู้ติดตามสนใจ อยากลองสั่งมาชิมสักครั้ง แถมยังทำให้กลุ่มผู้ติดตามกล้าเล่น กล้าคุย สร้างเอนเกจเมนต์ จนกลายเป็นคอมมิวนิตี้หน้าเพจได้เลย

               จริง ๆ แล้วแคปชั่นสายเล่นตัวเอง สามารถเอาไปปรับใช้กับสินค้าได้แทบทุกแบบเลย ขอแค่คนเขียนต้องมีอารมณ์ขัน ชงมุกเก่ง และสินค้าต้องดีจริง (เพราะการเล่นตัวเองของเราไม่ควรเป็นเรื่องจริง!) ที่สำคัญคือทีมแอดมินต้องสติดีมาก ๆ ต้องคอยตอบคอมเมนต์ลูกค้าตลอด รับมุกแล้วตบกลับไปเลยทั้งวัน ถ้าทำได้ ก็รอรับออเดอร์เยอะ ๆ ได้เลย

               แต่ก็อย่าลืมว่าแคปชั่นเป็นเพียงแค่แต้มต่อ ที่ช่วยดึงความสนใจของลูกค้าที่หลงเข้ามาเท่านั้น ลูกค้าอาจจะอยากลองซื้อของ ๆ เราเพราะชอบในความตลก แต่ถ้าของไม่ดีจริง และลูกค้าเองก็ไม่ประทับใจ ก็ยากที่จะมีออเดอร์ที่ 2 ต่อไปนะ

3. สายไหลไปเรื่อย

แคปชันลงโซเชียล สายไหลไปเรื่อย

               กะเพราหมูของร้านเราเลือกใช้เนื้อหมูสันในที่ดีที่สุด เพื่อเนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุน ไม่มีส่วนเอ็นให้คุณลูกค้าต้องรำคาญใจ นอกจากนี้ เรายังเลือกใช้ใบกะเพราจากฟาร์มท็อปสามของประเทศ เพื่อให้ได้คุณภาพกลิ่นหอมในทุก ๆ คำที่เคี้ยว เพราะว่าในท้ายที่สุดแล้ว คนไม่จำเป็นก็ต้องเดินจากไป ถึงแม้ว่าภายในใจจะรักเธอแค่ไหน …

               ถ้าใครเคยเจอแคปชั่นแนว ๆ นี้ ที่อ่านแล้วก็ได้แค่ เอ้ะ ยาว ๆ ว่ายังไงนะ นี่เราอ่านอะไรอยู่นะ แต่เชื่อเถอะว่าอะไรแบบนี้ลูกค้าชอบจริง ๆ ประโยคที่ว่า คนไทยเป็นคนตลก คือไม่เกินจริง ยิ่งในสถานการณ์ที่สังคมและเศรษฐกิจตึงเครียดแบบนี้ อะไรขำ ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้ใจลูกค้าอย่างไม่น่าเชื่อเลย เทคนิคของสายนี้มีแค่อย่างเดียว คือการไหลไปเรื่อย พูดเรื่องหนึ่งไปโผล่อีกเรื่องหนึ่งแบบงง ๆ แต่ถามว่าขายของได้มั้ย มันก็ขายได้!

               เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งสายที่เหมาะกับคนมีอารมณ์ขัน อาจจะไม่ได้เรียกเสียงฮาเท่าสายเล่นตัวเอง แต่ก็ได้ยิ้มมุมปากกันสักหน่อยแหละน่า แคปชั่นสายไหลไปเรื่อย จะเหมาะกับสินค้าที่ไม่ได้ต้องการความจริงจัง หรือความน่าเชื่อถืออะไรมากนัก เช่น ร้านอาหาร ขนม เครื่องดื่ม หรือจะเป็นแนวร้านหนังสือ ของเล่น เสื้อผ้าอะไรแบบนี้ก็ไม่ติดเลย แต่ถ้าสายเทคโนโลยีอยากจะเล่นบ้าง ก็ยังได้อยู่ แค่อย่าลืมเติมข้อมูลที่ถูกต้องจริง ๆ ให้ลูกค้าได้รับรู้ควบคู่ไปด้วยนะ

4. สายเนิร์ดสุดใจ ถามไรตอบได้ ไม่ถามก็ตอบให้!

แคปชันลงโซเชียล สายเนิร์ด

               มาถึงสายสุดท้าย ที่เพิ่งจะมาฮอตฮิตกันไม่ถึงปีเลย นั่นก็คือแคปชั่นสายเนิร์ด สายที่เหมาะสำหรับคนรู้ลึกรู้จริง ชอบทำรีเสิร์ชก่อนขายของ! สาเหตุที่สายนี้กำลังมาแรง ก็เป็นเพราะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ ๆ ที่ใส่ใจกับสินค้าที่ต้องการซื้อมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของส่วนผสม วัตถุดิบ กรรมวิธี หรือที่มาที่ไปในการพัฒนาสินค้า

               ตัวอย่างแบรนด์ที่ทำการตลาดแบบนี้ ก็มีทั้ง Diamond Grains ที่ตัวเจ้าของแบรนด์อย่างคุณอูน ชอบออกมาเล่าเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ความเป็นมา การเลือกวัตถุดิบ หรือขั้นตอนต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ แทรกด้วยข้อมูลเชิงลึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง หรืออย่างร้านอยู่ดีมีสุขข้าวเหนียวมะม่วงของคุณ ‘แม่ครัว’ ในทวิตเตอร์ ที่ชอบออกมาเล่าเกี่ยวกับข้าวเหนียวมะม่วงที่ตัวเองขาย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสายพันธุ์ของข้าวเหนียว รสชาติของมะม่วงแต่ละพันธุ์ กรรมวิธีการทำที่ต้องมีสูตรสำเร็จ เหล่านี้ล้วนเรียกความสนใจของผู้บริโภคได้ทั้งนั้น

               ถ้าถามว่าแคปชั่นสายเนิร์ดเหมาะกับสินค้าแบบไหน ก็ต้องบอกว่าได้หมดเลย! อาจจะเหมาะกับสินค้าประเภทอาหาร หรืออาหารเสริมเป็นพิเศษ แต่จะเป็นเสื้อผ้า เทคโนโลยี หรืออสังหาฯ ก็ได้ เพราะถ้าเป็นสายเนิร์ด ไม่ว่าจะสินค้าแบบไหน ก็ย่อมมีเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจให้หยิบมาเล่าได้ทั้งนั้น และถ้าสิ่งที่คุณเล่า ข้อมูลที่คุณรู้ หรือวิธีคิดในการพัฒนาแบรนด์ของคุณมันโดนใจลูกค้า ยังไงก็มีคนซื้อแน่นอน

               ข้อจำกัดเดียวที่มี อาจจะเป็นการที่แคปชั่นสายนี้ ไม่ค่อยเหมาะกับร้านที่รับของมาขาย หรือขายสินค้าที่ไม่ได้พัฒนาขึ้นเองเท่าไรนัก เพราะเราอาจจะไม่ได้รู้ลึกรู้จริง จนเอามาเล่าให้น่าสนใจไม่ได้นั่นเอง

               ครบ 4 สไตล์แล้วเรียบร้อยกับเทรนด์แคปชั่นลงโซเชียลที่จะช่วยให้ลูกค้าติดใจ หวังว่าเพื่อน ๆ จะสามารถเอาไปปรับใช้ เลือกแนวทางที่เหมาะกับร้านของตัวเองกันได้นะครับ!

               แต่อย่าลืมว่า ต่อให้แคปชั่นจะปังจนลูกค้าหันมาสนใจหลายร้อยหลายพันคน แต่แคปชั่นก็ไม่ใช่ทุกสิ่ง ถ้าแคปชั่นบนโซเชียลดี แต่ร้านเรายังจัดการปัจจัยอื่นได้ไม่ดีพอ ยังมีการตอบแชทช้า แอดมินพูดจาไม่ดี หรือสินค้าคุณภาพไม่ถึงมาตรฐาน ส่งของแล้วสินค้าเสียหายบ่อย ปัญหาเหล่านี้ ก็ย่อมทำให้ลูกค้าหนีเราไปได้เช่นกัน

               ทางที่ดีที่สุด คือการออกแบบให้ลูกค้าได้พบเจอประสบการณ์ดี ๆ จากร้านของเราแบบครบถ้วนตั้งแต่ต้นจบจบ ถ้าทำได้แบบนั้นแล้ว ก็รับรองได้เลยว่าคุณจะได้ลูกค้าประจำเพิ่มแน่นอน! และถ้าอยากรู้วิธีสร้างโมเดลธุรกิจให้ร้านค้ามีความยั่งยืนมากขึ้น ก็คลิกตรงนี้เลย!

               ส่วนใครที่ลองใช้เทคนิคแคปชันนี้แล้วยอดขายปังจริง ลูกค้าเข้าไม่หยุด จนเริ่มเช็กสลิปเองไม่ไหว ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ SlipOK แชทบอทตรวจสลิปปลอมอย่างเราได้เลย! ส่งปุ๊บ ตรวจปั้บ ไม่พลาดลิปปลอมสักตัวแน่นอน เริ่มเลย!

บทความที่เกี่ยวข้องกับการขายของออนไลน์

รู้ทัน 10 กลโกงซื้อขายออนไลน์ ป้องกันไว้ ก่อนโดนหลอกไม่รู้ตัว

4 ไอเดียสร้างร้านอาหารให้ลูกค้าหลงรัก จนต้องกลับมาอีกครั้ง

4 เหตุผลที่ร้านค้ายุคใหม่ ต้องมีแชทบอทตรวจสลิปปลอม!